แนวความคิดเรื่องน้ำพลังแม่เหล็ก (Conception of Magmetized Water )
เขียนโดย ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามิน
อดีต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
นักวิจัยดีเด่น สภาวิจัยแห่งชาติ และปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ในทางทฤษฎีน้ำพลังแม่เหล็ก หมายถึงน้ำที่ได้รับผลกระทบทางฟิสิกส์จากพลังงานแม่เหล็ก เกิดการปรับตัวของโครงสร้างโมเลกุลของน้ำขึ้นใหม่ โดยการจับกลุ่มที่มีขนาดเล็กลง คือ จากเคยมีถึง 30 โมเลกุลต่อกลุ่ม แตกออกมาเป็น 6 โมเลกุลของน้ำ ( H2O) ต่อ 1 กลุ่มเท่านั้น
น้ำที่มีโมเลกุลเล็ก อันเกิดจากอิทธิพลของคลื่นแม่เหล็กนี้ จะมีคุณสมบัติของน้ำที่ดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
มีความเข้าใจที่ผิด ๆ ว่า น้ำจะมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็ก ( Magnetic Water ) ได้ เมื่อถูกนำไปอาบในสนามแม่เหล็กแรง ๆ ( Strong Magnetic Field ) น้ำจะไม่สามารถเป็นแม่เหล็กและไม่อาจมีคุณสมบัติของแม่เหล็ก( Viscosity ) เพราะน้ำไม่มีโลหะเหล็กอยู่ในองค์ประกอบในอดีต ใครก็ตาม ถ้าพูดถึงน้ำพลังแม่เหล็ก ( Magnetized Water ) ถือว่าเป็นคนมีอาชีพหลอกลวง ( Quackery )
ความรู้เรื่องประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก (Magnetized Water ) กว่าจะเป็นที่ยอมรับฟังในสังคม นักวิทยาศาสตร์ได้ ก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน อย่างนั้นแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังมองว่า การใช้คุณสมบัติของแม่เหล็ก ( Magnetism) เพื่อการรักษาโรคเป็นเรื่องที่หลอกลวง ( Quackery ) เป็นเรื่องไม่จริง จุดเปลี่ยนที่ทำให้สังคมยอมรับเรื่องพลังแม่เหล็ก คือ รางวัลโนเบลทางการแพทย์ในปี ค.ศ. 2003 ในผลงานการคิดค้นเครื่องถ่าย(สร้าง) ภาพ MRI (Magnetic Resonance Image )
คณะกรรมการโนเบล ได้มอบ The 2003 Nobel Prize in Medicine ( รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ พ.ศ. 2546 ให้ ท่านเซอร์ ปีเตอร์ แมนฟิว นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม โดยเป็นรางวัลร่วมกับ ดร.พอล ลอเทอเบอ นักเคมีชาวอเมริกัน จากมหาวิทยาลัยอินลินอยสำหรับการคันพบวิธีสร้างภาพในโมเลกุลน้ำอันเกิดจากคลื่นแม่เหล็กเป็นหลักทำให้นำไปประดิษฐ์เครื่องมือใช้สำหรับตรวจโรคที่ดียอดเยี่ยมทางการแพทย์ ชื่อ เอ็ม อาร์ ไอ (MRI – Magnetic Resonance Image) ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า เครื่องเอกซเรย์ ( X – Ray ) และเครื่องถ่ายภาพ ซี ที สแกน ( CT Scanner)
การที่คณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาทางการแพทย์ในปี ค.ศ. 2003ยอมรับว่า พลังแม่เหล็กเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์โดยการสั่นสะเทือนของโมเลกุลไฮโดรเจนในน้ำที่ได้รับคลื่นแม่เหล็ก จึงเป็นจุดเปลี่ยน (Turning Point ) ทางด้านความคิดที่สำคัญต่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่เคยคัดค้าน ที่มาของพลังแม่เหล็ก (Magnetic Energy)
1) น้ำที่อยู่ตามธรรมชาติ จะได้รับพลังงานแม่เหล็ก รวม 3 ทางคือ
- Material Magnetism เป็นเส้นแรงแม่เหล็ก จากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลก ใต้ สนามแม่เหล็กนี้คลุมโลกไว้ทั้งใบ
- Gravitational Magnetism หมายถึงแรงดึงดูดของโลก
- Planetary Magnetism คือพลังแม่เหล็กของจักรวาลซึ่งแรงที่สุดเพราะเห็นได้จากสามารถยึดดาวต่างๆให้อยู่ในระเบียบถ้าไม่มีพลังนี้ดึงไว้โลกคงจะหมุนกระเด็นออกไปจากวงโคจรของสุริยะจักรวาล
2)น้ำจากเครื่องกรองน้ำ เครื่องกรองน้ำประเภทที่มีพลังแม่เหล็กที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ นอกจากมีตัวกรอง (Filter) แล้ว เช่น ไส้กรองเซรามิค ไส้กรองคาร์บอน แบบต่าง ๆ แล้ว จะต้องมีแท่งแม่เหล็ก (Magnetic Disc)ใส่ไว้ด้วยเครื่องกรองน้ำประเภทนี้บางชนิดอาจจะมีแม่เหล็กไว้บริเวณท่อน้ำไหลออก หรือก๊อกน้ำ และบางชนิดอาจมีลักษณะเป็นก้อนกลมตรงกลางเป็นรูกลวงเหมือนขนมโดนัท วางอยู่ใต้ฐานเครื่อง บริษัทผู้ผลิตเครื่องกรองน้ำใช้ชิ้นแม่เหล็กความแรงประมาณ 4,000 Gausses แต่ถ้าใช้ขนาด 10,000 Gausses จะทำให้น้ำที่เพียงไหลผ่านก็ได้รับพลังงานกลายเป็น Magnetized Water (น้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก) หรือถ้าเรียกอย่างถูกต้องก็คือ Magnetic Treatment Water
คุณสมบัติของน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็กจากสนามแม่เหล็ก ประกอบด้วย
1. การเกาะกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก คือ 6 โมเลกุลของน้ำ (H2O) ต่อ 1 กลุ่ม (Micro cluster) แทนที่จะเป็น 30-40 โมเลกุลต่อ 1 กลุ่ม (Macro cluster หรือ Bound Water) ทำให้มันสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งเข้าไปและออกมาจากเซลล์ได้รวดเร็ว เมื่อเข้าไปก็จะนำสารอาหาร ออกซิเจน เอนไซม์ เกลือแร่ต่าง ๆ เพื่อให้เซลล์ได้ใช้ และเมื่อออกมาก็จะพาสารพิษ ของเสียจากการเมตาบอลิซึม (Metabolism) ซึ่งเรียก Metabolic Waste เพื่อนำไปทิ้ง ผลก็คือ เซลล์สดใส แข็งแรง มีกำลังทำลายสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่ต้องการได้ง่าย และที่สำคัญ เซลล์ชะลอความแก่
2. การมีแรงตึงผิวต่ำ (Less Surface Tension)
- ทำให้กลายเป็นน้ำที่มีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลาย (Solvent) สิ่งต่างๆ ได้ดี สารอาหารทั้งหลายที่ละลายอยู่ในเลือดที่ประกอบด้วยน้ำถึง 92 เปอร์เซ็นต์ ก็จะถูกพาเข้าไปในเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ความสำคัญต่อชีวิต คือ มีออกซิเจนละลายอยู่ด้วยอย่างเพียงพอ
- แรงตึงผิวต่ำ ทำให้ความหนืดหรือความข้น (Viscosity) ของเลือดลดลง ประกอบกับน้ำในเลือดเป็นกลุ่มที่มีโครงสร้างขนาดเล็ก และเป็นระเบียบ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่ม ( Cluster) เพิ่มมากพอที่จะมีเนื้อที่ได้ขยับขยายไม่เบียดกัน เลือดไหลเวียนง่าย (โดยปกติ โลหิตมนุษย์จะข้นเป็น 4 เท่าของน้ำ ถ้าข้นมากกว่านี้จะถ่ายเทไม่สะดวกเพราะความหนืด ) อาการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เช่นที่สมองจะทุเลาขึ้น ความดันโลหิตก็ไม่สูงและหัวใจไม่จำเป็นต้องบีบตัวมาก
3. การมีคุณสมบัติเป็นด่าง (Promote more Alkaline pH in the Body)
- ร่างกายมนุษย์ (ยกวันกระเพราะอาหาร และไต) จะมีค่าเป็นด่าง (pH 7.4) จึงช่วยทำลายขยะของเสียที่มีฤทธิ์เป็นกรดภายในเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆอวัยวะในร่างกายต้องอยู่ในสภาวะเป็นด่างแต่ทำงานในลักษณะเป็นกรดการย่อยอาหารทุกชนิดและทุกครั้งจะก่อให้เกิดขยะของเสีย ที่เป็นกรดสะสม การมีสภาวะกรดสูงในเลือด ถ้าไม่มีน้ำดื่มที่เป็นด่างมาช่วยทำปฏิกิริยาต่อต้าน (Buffer)เอาไว้ก็จะทำให้ร่างกายจำเป็นต้องไปดึงเอาเกลือแร่แคลเซียมและแมกนีเซียมออกมาจากเนื้อของกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อ เพื่อมาล้าง (Buffer) ความเป็นกรด อันเกิดจากขยะของเสีย ( Acidic Waste) ในร่างกาย หรือเกิดมาจากมลภาวะต่าง ๆ
- สภาวะเป็นด่างอันเนื่องมาจากไฮดรอกซิลไอออน(HydroxylIon) ซึ่งมาจากการแตกตัวเป็นไอออน (Ionization) ของน้ำ โดยอิทธิพลจากพลังแม่เหล็ก ผลที่ได้ตามมาคือ มีออกซิเจนเกิดขึ้นจำนวนมากและส่วนใหญ่จะละลายโดยทันทีอยู่ในน้ำนั้นจะเห็นได้โดยถ้าเอาน้ำดังกล่าวมาใส่ทิ้งไว้ในขวดแก้วที่ปิดสนิทจะเกิดมีพรายน้ำเม็ดเล็กๆแพรวพราวเต็มไปหมดเกาะอยู่ด้านในขวดจนอาจกล่าวว่าถ้าน้ำเป็นด่างจะมีออกซิแจนละลายอยู่เสมอน้ำบริสุทธิ์อย่างน้ำกลั่น จะเป็นกรดอ่อน ๆ เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากอากาศละลายเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก ออกซิเจนนี้นอกจากให้พลังงานกับเซลล์ทำให้เซลล์แข็งแรงออกซิเจนยังช่วยทำให้เชื้อจุลินทรีย์อันตรายประเภทไม่ชอบอากาศ (Anaerobic Bacteria) เกิดไม่ได้ หรือหยุดเจริญในที่มีออกซิเจน การไม่แบ่งตัวทำให้แบคทีเรียมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้จากผลการวิจัย ของ ดร. Otto Warburg ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ใน ค.ศ. 1931 ที่พบว่า โรคมะเร็งชอบอยู่ในที่ไม่มีออกซิเจน ดังนั้นถ้าอวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนอย่างสมบูรณ์จากน้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก (Magnetized Water) ตามทฤษฎี โรคมะเร็งไม่ควรจะเจริญงอกงามที่อวัยวะนั้น ๆการได้รับรางวัลโนเบล ถือว่าเป็นคนเก่งของโลก ดร. Otto Warburg ผู้นี้ได้รางวัลโนเบลถึงสองครั้ง จึงถือว่าไม่ธรรมดา
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อันเกิดจากออกซิเจนไอออน ให้อิเลคตรอน ประจุลบ ไปตัดวงจรของการเกิดอนุมูลอิสระ (Free Radical Cycle) ซึ่งเป็นตัวทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้ป้องกันโรคความเสื่อมต่าง ๆ (Degenerative Disease) เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน เป็นต้น
ประโยชน์ของน้ำพลังแม่เหล็ก (Magnetic Treatment Water )
1. ป้องกันโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เพราะคุณสมบัติที่เป็นด่างของน้ำดังกล่าวยู่แล้ว ทำให้ร่างกายไม่ต้องเสียเวลาเพื่อดึง แมกนีเซียม และแคลเซียมออกมาจากกระดูกไปเป็น Buffer กับกรดในร่างกาย จนทำให้เนื้อกระดูก (Bone Mass) ละลายออกมาเป็นหย่อม ๆ เกิดรูพรุน บาง ความแน่นของกระดูก (Bone Density) ลดลง นอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้ฟันผุอีกด้วย (Bone Caries) เพราะผิวฟันชั้นนอก (Enamel) ไม่ต้องสูญเสียแมกนีเซียม และแคลเซียม
2. ป้องกันโรคหัวใจ ( Heart Disease ) ในชีวิตประจำวัน ร่างกายจะสร้างความเป็นกรดอยู่เกือบตลอดเวลาจากระบบเมตาบอลิซั่ม (Metabolism) จากมลภาวะ (Pollution) และจากกินอาหารโปรตีนสูง (High Protein Diet ) ทำให้ต้องดึงแมกนีเซียมกับแคลเซียมออกจากกระดูก และบางครั้งจากเซลล์กล้ามเนื้อของหัวใจมาคอยผสมเพื่อให้ค่าความเป็นกรดด่างของร่างกายกลับมาสมดุลที่ pH 7.4 ตลอดเวลา (ค่า pH ในเลือด ร่างกายจะยอมให้อยู่ระหว่า pH 7.35-7.45 น้อยไปหรือมากไปกว่านี้จะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายผิดปกติ แต่โอกาสที่จะเกิน 7.45 แทบไม่มีเลย นอกจากการใช้ยาผิด แมกนีเซียม (Magnesium) จำเป็นที่สุดในการสร้างพลังงานระดับเซลล์ (Cellular Energy) และยังทำให้สารพลังงาน เอ ที พี ( Adenosine Triphosphate หรือ ATP ) แตกตัวมาเป็นสาร เอ ดี พี (Adenosine Diphosphate ) บริเวณไมโตคอนเดรีย ( Mitochondria อยู่ภายในเนื้อเซลล์ Cytoplasm) จึงเกิดพลังงานขึ้นเพื่อให้เซลล์นำไปใช้ทำงานต่อไป การที่แมกนีเซียมถูกดึงมาจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่มีเสริมกลับเข้าไป เป็นผลให้เมื่อถึงจุดหนึ่ง ( Last Straw ) แมกนีเซียมที่อยู่ในเซลล์ไม่พอไปสร้างพลังงาน เอ ที พี เซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจจะหยุดทำงานเพราะขาดเชื้อเพลิง และหัวใจจะหยุดเต้น
3. ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด (Ischemia) เมื่อความเหนียวและความข้นของเลือด ลดลงและโมเลกุลของน้ำที่ประกอบเป็นกลุ่มเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบจึงทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ปริมาณมากขึ้นนอกจากนี้น้ำในเลือดที่มาหล่อเลี้ยงเซลล์ยังมีสารอาหาร เอนไซม์ และออกซิเจนละลายอยู่อย่างเพียงพออีกด้วย เนื่องจากแรงตึงผิวของน้ำในเลือดต่ำ ทั้งยังสามารถซึมเข้าเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ได้โดยง่าย
4. ร่างกายแข็งแรง และมีภูมิต้านทานโรคสูงขึ้น เลือดซึ่งใช้น้ำเป็นองค์ประกอบถึง 92 เปอร์เซ็นต์ น้ำที่ดีจึงสามารถพาสารอาหาร เอนไซม์ ฮอร์โมน และออกซิเจน มาให้กับเซลล์ต่าง ๆ อย่างพอเพียง การไหลเวียน (Blood Circulation) ก็สะดวก เซลล์จะแก่ช้าลง การต้านทานโรคเข้มแข็ง แผลหรือการอักเสบหายเร็วขึ้น ยาปฏิชีวนะสามารถถูกดูดซึมเข้าเซลล์ต่าง ๆ พร้อมกับน้ำโครงสร้างเล็กได้ ยาเข้าไปปริมาณสูงกว่าน้ำชนิดอื่น ก่อทั้งประโยชน์และเกิดประสิทธิภาพที่จะหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ได้อย่างแน่นอนในกรณีที่เป็นแบคทีเรียชนิดที่ไม่ชอบอยู่ในออกซิเจน ซึ่งมักอันตรายต่อมนุษย์ ก็จะหยุดแบ่งตัวและอ่อนแอลง เพราะน้ำพลังแม่เหล็กมีออกซิเจนละลายอยู่สูงทำให้สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะกับเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ชอบอากาศจะแพร่พันธุ์ต่อไป
5. น้ำที่ได้รับพลังแม่เหล็ก จะมีรสอร่อย และแก้กระหายน้ำได้เร็ว การที่น้ำมีรสดี เพราะการมีโครงสร้างขนาดเล็ก ต่อมรับรสที่โคนลิ้นรับสัมผัสได้ง่าย เป็นการถูกกระตุ้น สร้างความพอใจแปรสัญญาณที่ออกมาในทางรสดี น้ำที่โครงสร้างขนาดเล็กยังสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ เข้าเซลล์ของร่างกายได้ง่าย เมื่อเวลาหิวน้ำ ถ้าดื่มน้ำพลังแม่เหล็ก จะแก้กระหายได้เร็วว่าดื่มน้ำชนิดอื่น ทำให้รู้สึกสดชื่นและชุ่มมากกว่าอีกด้วย
6. ป้องกันโรคปวดข้อ (Arthritis) โรคเก๊าท์ (Gout) และโรคนิ่วในไต(Kidney Stone) เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นด่าง ทำให้ผลึกของกรดชนิดต่างๆ ไม่จับตัว อาทิเช่น กรดยูริค (Uric Acid ) , กรดออกซาลิก (OxalicAcid)ความเป็นด่างของน้ำพลังแม่เหล็กจะไปทำให้สารต่างๆที่ออกฤทธิ์เป็นกรดทั้งหลายหมดสภาพ กรดยูริคบริเวณข้อ (Joint) ละลาย ไม่ก่อตัวเป็นผลึกที่แหลมคมฝังตามข้อต่าง ๆ อีกต่อไป ความเจ็บของโรคเก๊าท์ อันเกิดจากผลึกแหลม ๆ แทงเนื้อเยื่อก็จะทุเลาลง
7. ป้องกันโรคแห่งความเสื่อมเรื้อรัง (Chronic Degenerative Disease)โรคแห่งความเสื่อมที่สำคัญ คือ โรคมะเร็ง (Carcinoma) ซึ่งขออธิบายพยาธิสภาพของมันอย่างง่าย ๆ ดังนี้
อนุมูลอิสระ (Free Radical) ที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ ไป ทำให้เซลล์ปกติถูกทำลายโดยปฏิกิริยาห่วงโซ่ โดยโมเลกุลในเซลล์จะถูกแย่งอีเลคตรอน ประจุลบ เคยมีอยู่ออกไป ทำให้ตัวมันเองขาดอีเลคตรอนกลายเป็นอนุมูลอิสระตัวใหม่ ซึ่งไม่เสถียร ของปฏิกิริยาห่วงโซ่ อีเลคตรอน ที่แยกตัวออกไปนี้จะปล่อยพลังงานให้เป็นอิสระ(ซึ่งเคยใช้ยึดอีเลคตรอนไว้)หลุดออกมาจากโมเลกุลและร่างกายควบคุมไม่ได้ พลังงานนี้จึงเที่ยวอาละวาดทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ใกล้เคียง จนเยื่อหุ้มเซลล์เสียหาย ทำหน้าที่ไม่ได้ตามปกติอาจจะเป็นรู เกิดความพิการ เกลือแร่ภายในเนื้อเซลล์ (Cytoplasm) จะมีสัดส่วนทางเคมีผิดปกติ เพราะมีการรั่วของบางเกลือแร่เช่น โปรแตสเซียม ผ่านออกมาจากเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้ดี เอน เอ (DNA) ในนิวเคลียส (Nucleus) บิดเบี้ยว แบ่งตัวเพี้ยนตามไปด้วย เกิดเป็นเซลล์พิกลพิการชนิดใหม่เรียกว่า เซลล์มะเร็งการเกิดอนุมูลอิสระที่พบมากคือสาเหตุมาจากรังสีต่างๆและที่ขาดความสนใจเพราะประมาทแต่อันตรายใหญ่หลวง คือ รังสีเอ็กซ์ (X-Ray) การถ่ายเอ็กซ์เรย์หน้าอก รังสีผ่านร่างกายเพียงวินาทีเดียว อีเลคตรอน กระเด็นหลุดออกมานับล้านตัว พลังงานที่อีเลคตรอน เคยใช้วิ่งรอบโปรตอน(Proton) เปลี่ยนออกมาเป็นพลังงานอิสระที่ไม่มีผู้ใดควบคุมได้ เกิดเซลล์อนุมูลอิสระเป็นล้านเซลล์ นี่คือ ต้นเหตุของโรคมะเร็งโดยเฉพาะเซลล์ของเต้านมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงง่ายยิ่งถ้าอายุมากขึ้นความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระจะไม่พอเพียง เช่นวัยหนุ่มสาว